Posted on 1 Comment

เที่ยว Tohoku กับ มิวสิคAF

ผมมิวสิคนะครับ ได้มีโอกาสขับรถเที่ยว “โทโฮคุ” ตอนแรกก็หวั่นๆ แต่มันไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยครับ เลยต้องเอามาเล่าให้ฟังกันซะหน่อย บอกเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาขับรถที่ญี่ปุ่น แอบหวิวๆกลัวๆ จะขับรถได้ไหมวะเนี่ย หลงทางแน่ๆ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ ลำบากแน่ๆ แต่พอไปแล้ว…มันง่ายกว่าที่คิดเยอะมาก ขอบอกก่อนว่าทริปนี้เราได้รับการสนับสนุนจากทางการของภูมิภาคโทโฮคุ เน้นสายลุย ขับรถทั่วภูมิภาคกันไปเลย ถ้าเดินทางมาญี่ปุ่นคุณคงนึกถึง โตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโด น้อยคนนักที่จะบินมาเที่ยวโทโฮคุ เพราะหลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อ”โทโฮคุ”แต่หากพูดคำว่า”เซนได” คงร้องอ๋อกันแน่ๆ

มาเริ่มกันเลย โทโฮคุ เป็นภูมิภาคหนึ่งที่อยู่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วย 6 จังหวัด ได้แก่อะโอโมริ อะคิตะ อิวะเตะ มิยะงิ ยะมะงะตะ และฟุคุชิมะ ภูมิภาคนี้มีอะไรให้เที่ยวสวยๆมากมายแต่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก และใครเป็นพวกสายธรรมชาติต้องห้ามพลาด โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ขอบอกเลยว่าให้คะแนน 10/10

ทริปนี้เราจะเริ่มตั้งแต่เดินทางจากเมืองไทย การเช่ารถ การตระเวนขับรถไปตามสถานที่แนะนำต่างๆจนจบทริปเลย ผมเริ่มจากการที่บินมาจาก กทม. จะบินมาสายการบินไหนก็ได้ครับ ไม่ซีเรียส ส่วนผมบินการบินไทยมาลงที่สนามบินนาริตะ จองล่วงหน้าราคาไป-กลับก็หมื่นกว่าๆ ครับ และมาต่อบินภายในโดย ANA แต่จะบอกเลยว่าประเทศญี่ปุ่นต่อให้เป็นเครือเดียวกัน เช่น ONE World Star Alliance จะสายการบินเดียวกัน ต้องออกมาแล้วเอากระเป๋าไปเช็คอินใหม่อยู่ดี เพราะเป็นกฎของญี่ปุ่นนะครับ ดังนั้นคนอยากสบายๆ เช็คทรูกระเป๋าได้เลย หมดสิทธิ์นะจ๊ะ 555+ แต่สนามบินญี่ปุ่นวางผัง Terminal ไว้ดี เดินแค่แป๊ปเดียวก็ถึงละครับ บินไฟลท์ดึก ถึงเช้า บินต่อไปลง ”เซนได”  ซึ่งเซนไดเป็นเมืองหนึ่งในภูมิภาคโทโฮคุ ที่การบินไทยกำลังจะมีบินตรงด้วยนะครับ ช่วงปลายๆ ต.ค. ใบไม้กำลังแดงเลยยยยย

ดังนั้นช่วงนั้นไม่ต้องต่อเครื่องแบบผมแล้ว แต่หากใครอยากเที่ยวโตเกียวด้วย ก็ลงโตเกียวก็ได้ครับ เวลาเยอะก็ลุยมัน2เมืองไปเลย ค่าตั๋ว ANAบินภายในแค่ 3,000 กว่าๆ เอง ไม่แพงอย่างที่คิดนะครับ เครื่องจะลำเล็กหน่อยเป็นเครื่องใบพัด ถึงลำเล็กแต่ปลอดภัยแน่นอนคับ เครื่องใบพัดเขาบอกว่าต่อให้เครื่องยนต์ดับก็ร่อนลงได้สบายๆ (เขาบอกมานะ อาจจะไม่จริง100%ครับ 555+)

พอถึงสนามบินเซนไดผ่าน ตม.แล้วเราก็ออกมาเลย รับกระเป๋า เดินออกมาก็เจอที่เช่ารถเลยจ้า ผมเลือกเช่ารถของ Toyota เพราะเห็นมีโปรโมชั่นดีเลยครับ เช่าเมืองนี้ ไปคืนรถอีกเมืองหนึ่งได้ เลย อย่างของผมในทริปนี้ เช่าที่สนามบินเซนได คืนที่สนามบินนาริตะ หรือจะเลือกจองล่วงหน้า ที่ https://rent.toyota.co.jp/  มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีนและญี่ปุ่นไปเลยจ้าที่จุดเช่ารถของ Toyota เขาก็จะมีแผ่นกระดาษเป็นรุ่นรถแต่ละแบบให้เราดู หรือเลือกมาจากในเว็บข้างบนก็ได้นะ

เราเลือกรถรุ่นถูกสุดเลยก็ได้สบายๆประหยัดๆ ราคาต่อวันแค่วันละ 7,560 เยน หรือประมาณวันละ 2,000 นิดๆ 3 วันก็อยู่ที่ 22,680 เยนเงินไทยก็ประมาณ 6,000 กว่าบาพอเราเลือกเสร็จ เจ้าหน้าที่จะ เรียกรถมารับที่ประตูทางออกสนามบิน เพื่อไปจุดรับรถของ Toyota ตรงนี้เราใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เสร็จแล้ว

 

รถเขาดีทุกคันแทบจะเป็น Hybrid หมด ดังนั้นผมเลือกรถรุ่นถูกสุด เครื่องยนต์ต่ำ Hybrid อีก ประหยัดน้ำมันสุดๆ เลยครับ ทำความเร็วได้พอสมควร มาขับรถเที่ยวฮะ ไม่ได้ขับรถแข่ง ไม่ต้องเอาแรงมากเน้นปลอดภัยดีกว่าครับ 555+

การขับรถที่นี่ก็พวงมาลัยขวาเหมือนที่ไทย น้ำมันก็เติมตามรุ่นตามรถที่เขาแจ้งเลยครับ จะมีบัตรทางด่วนให้เช่าด้วย (แนะนำให้เช่าครับเหมือน Easy Pass บ้านเรา) มันสะดวกมากๆ ครับ ใครไม่เช่าก็ได้ก็ขับเข้าช่องจ่ายเงินปรกติ รับบัตรและเอามาจ่ายปลายทาง ผมเช่านะแต่ลองทั้ง 2 แบบ เป็นพวกชอบอยากรู้555+ เขาจะสอนการใช้ GPS ที่ติดกับรถด้วยครับ (มีเมนูภาษาอังกฤษด้วย…ไม่ต้องตกใจ) GPS ที่นี่อยากไปไหนแค่ Search หาเบอร์โทรศัพท์ของที่นั้นๆ เลือกฟังก์ชั่นใส่เบอร์โทร เเล้วขับตามอย่างเดียวจ้า

หน้าตาบัตรทางด่วนที่รับบัตรและเอามาจ่ายปลายทางหน้าตา GPS หน้ารถจ้าวันแรกไปถึงก็เที่ยงแล้ว ทริปนี้ตั้งใจเลยครับ มาเซนไดจะต้องนอนโรงแรมออนเซนทุกคืน แช่มันให้ตายกันไปข้างนึง ดังนั้นเลือกโรงแรมไว้ได้เลยครับ แต่ควรเลือกโรงแรมตามเส้นทางด้วยนะครับ หากใครมีโรงแรมที่อยากไปก็ต้องเลือกให้ดี ไม่งั้นขับรถวนไปวนมาเสียเวลาเที่ยวครับ

วันแรกผมอยากชิวๆไม่อยากอัดแน่นมาก อยากเห็นมหาจิ้งจอก  Fox Village  ไปดูจิ้งจอกกัน ขับไปประมาณไม่กี่นาที ก็ถึงละ ลุยเข้าไปดูกันเลย ผมเคยมาครั้งนึงตอนหน้าหนาว จิ้งจอกจะตัวอ้วนมากและซ่ามากๆ แต่ตอนนี้ที่มาไม่หนาวมากครับ น้องจิ้งจอกแอบดุนิดๆแต่ไม่กัดคับ เขาจะอธิบายก่อนเข้าว่าห้ามทำอะไร สิ่งที่ห้าม ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนงับ555+ ตัวจะไม่อ้วนมากสงสัยจะร้อน เลยผอมลงไปเยอะ ผมเลยเอามาให้ดูทั้ง 2 ฤดูเลย

หิมะตก ก็จะฟูๆแบบนี้อากาศร้อนๆ ก็เหี่ยวหน่อยผมมีวีดีโอด้วย ช่วงหน้าหนาวผมมาแล้วเจอตอนเค้าให้อาหารพอดี มันวิ่งมาเป็นร้อยๆตัว เป็นเหมือนพายุหมุน และผมเกือบอยู่ตรงกลาง คนอื่นไม่กล้าเข้ามาแต่ผมต้องลุย แอบกลัวบอกตรงๆ แต่สู้ตายโว้ย

บางช่วงจะมีให้อุ้มด้วยนะครับ เป็นแค่บางช่วงเท่านั้นครับ แล้วแต่ฟาร์มเลย เราอยู่ถ่ายรูปให้เต็มที่ให้จุใจกับน้องจอก จริงๆผมมีเป้าหมายไปต่อคือ วัดยามาเดระ (Yamadera Temple)  แต่เหนื่อยเเล้วก็เลยขอเลื่อนไว้วันถัดไปดีกว่า  ไปโรงแรม เเช่ออนเซ็นกันคืนแรกผมเลือกโรงแรมชื่อ  Matsushima Ichinobo  เป็นโรงแรมใหญ่ เป็นเรียวกัง ออนเซ็นเลย            พิกัด :1-4.Takagi aza Hama,Matsushima-machi,Miyagi-gun,Miyagi 981-0215                เบอร์ติดต่อ : 81-570-050-240   web : https://www.ichinobo.com/matsushimaออนเซนที่นี่มีหลายที่มาก หลายจุด ไปแช่ให้ครบนะครับ เพื่อความครบถ้วน ที่แนะนำจะคือ outdoor ครับ เพราะมันติดแม่น้ำ สวยมากมายเลย และได้บรรยากาศสุดเลยครับ ดีอย่าบอกใคร ห้องนอนสะอาดครับ เป็นโรงแรมเก่าแก่มากแต่ห้องยังงดงาม เมื่อจบกิจกรรมถึงเวลานอนๆๆจะได้มีแรง หรือใครฟิตก็จัดเต็มเครื่องดื่ม+ไปแช่ออนเซนอีกรอบได้เต็มที่ครับ ตื่นเช้ามาก็ไปกินข้าวที่ห้องอาหาร อาหารดีเลยครับมีให้เลือกครบทุกแบบ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน โอโทโร่สับ ราเมง สลัดอะไรมีครบหมด จัดให้เต็มท้องพร้อมลุย ออกมาผมก็ไปสวนสาธารณะเค้าบอกว่าดอกไม้สวยมาก ชื่อ MICHINOKU PARK  มีน้ำตก มีลาเวนเดอร์ เอาเป็นว่าใครไปได้ครบทุกดอกไม้เลย

วันที่ไปคนน้อยมากกกก เลยได้ภาพแบบไม่มีคนเลยครับ มีสะพานไม้โบราณที่ Classic สุดๆ สวนนี้มันถูกออกแบบมาเหมือนเป็นที่จอดยานอวกาศ มีแบบก้อนหินเป็นสัญลักษณ์แบบให้ต่างดาวรู้ (ในหนังเขาว่ามาแบบนี้555+ ไม่ต้องซีเรียสครับ) คล้ายๆ Stonehenge ที่อังกฤษเลยคับ ใส่ภาพ ที่นี่สงบมากๆ ใครอยากพัก ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่ระวังเวลาด้วยนะครับ เดี๋ยวจะเพลินจนเกินไป เดี๋ยวเก็บไม่หมด ครับ

บัตรเข้าสวนหน้าตาแบบนี้นะ คนละ 450 เยนสะพานไม้โบราณที่ Classic สุดๆ สถานที่ต่อไปเขาบอกกันมาว่ามันเป็นต้นไม้ที่เหมือนตัวการ์ตูนภูตน้อย  TOTORO ก็เลยต้องไปดูซะหน่อย เป็นต้นไม้เหมือนการ์ตูนชื่อดัง คนญี่ปุ่นนี่ก็เก่งจริงๆ ทำอะไรให้มี Story ได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อ นับถือเขาจริงๆครับ ไปถึงก็เจอนี่ละครับ เป็นต้นไม้ ต้นเดียว!! ย้ำนะว่าต้นเดียว ต้นนี้มีชื่อว่า “TOTORO ‘S WOODS” 

ผมลอง Search ดูข้อมูล เอ้ยมันมี 2 ต้นนี่หว่าที่เป็นแบบนี้ ต้นนึงอ้วนๆหน่อย ต้นนึงจะหูใหญ่ๆแหลมๆ และชื่อคนละชื่อกันครับ ไปสิรออะไร  ซึ่งทั้ง 2 ที่ก็อยู่ไกลกันพอสมควรประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ครับ

ภาพล่างก็คือต้นนี้ครับ มีชื่อว่า “THE TOTORO TREE”  ต้น TOTORO อีกต้นที่หน้าตาคล้ายกันมาก 

ใครชอบภาพแบบนี้ก็ลุยมันไป 2 ที่เลยครับ จะได้สุดๆไปเลย ระหว่างทางก็แวะสวนผลไม้ สวนเชอรี่ สวนลูกท้อ สวนแอปเปิ้ล มีให้เก็บเยอะมากๆครับ บางที่ก็เก็บกินได้เลยครับ ไม่ต้องพูดถึงรสชาติ อร่อยเหาะไปเลย พอจบก็เริ่มบ่ายแก่ๆแล้ว พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผมก็ก็ขอลาไปแช่ออนเซ็น เป็นอีกวันที่ไม่ได้ไปวัดยามาเตระ เอาละพรุ่งนี้ต้องไปให้ได้

สวนผลไม้ข้างทางก็สวยแบบนี้แหละลูกพีชน่ากินแบบนี้ สาลี่ ผลใหญ่ๆแบบนี้ก็มีน้าาในบางสวนก็จะมีที่ขายของที่ระลึกแบบนี้เลยโรงแรมที่จองคืนนี้ก็จะบ้านๆ นิดนึง ชื่อว่า Sakaeya Hotel ตั้งพิกัดรหัส GPS โดยใช้ Tel :023-653-3151 แต่ว่ามันอยู่ในเส้นทางที่ควรจะต้องพักตรงนี้ครับ เลยจัดที่นี่

ป้ายทางเข้าโรงแรมในห้องนอนจะเป็นที่นอนกับพื้นแบบนี้เลยออนเซ็นของที่นี้อาหารเป็นชุดไคเซกิ อร่อยครับ ไปกันก๊วนใหญ่ก็จองห้องใหญ่ กินด้วยกันไปเลยครับผม ออนเซนที่นี่ indoor จะเป็นที่แช่ธรรมดาๆ หน่อยเหมือนสระน้ำ แต่ชั้นบนเป็น Outdoor อันนี้สวยงามเลยครับ หากใครถึงตอนสว่างอยู่ก็จะเห็นวิว แต่ถ้ามืดแล้วไม่เห็นวิวบรรยากาศก็ได้อยู่ครับ หากไม่เห็นตอนกลางคืน ตอนเช้ายังมีโอกาสครัเช้าวันต่อมา ผมออกไม่เร็วมาก ราวๆ 10.00 น. เน้นเที่ยวชิวๆครับ ไม่ต้องรีบบบ ที่ต่อไปคือวัดยามาเดระ(Yamadera Temple) ตั้งพิกัดรหัส GPS โดยใช้ Tel : 023-695-2002 ยามะ แปลว่า ภูเขา เดระ แปลว่า วัด ดังนั้นก็คือ วัดภูเขานั่นเอง ที่วัดนี้เราต้องเดินขึ้นไปชั้นบนสุด แอบโหดนะ เตรียมรองเท้าดีหน่อยนะครับ ไม่งั้นไม่ไหวแน่ๆ ส้นสูงหมดสิทธิ์ครับ แนะนำให้ยืดขาก่อน ผมไม่ได้ยืด เกือบตายย ถ้าจะขึ้นไปบนสุดต้องขึ้นบันไดราวพันกว่าขั้นนะครับ(มีค่าขึ้น 300 เยน) ไม่หมูนะบอกเลย แต่ว่าควรขึ้นครับ สวยมากๆ มีภาพและ VDO มาให้ดูเป็นน้ำจิ้มครับ บอกเลยว่าถ้าใบไม้แดงละก็ ตายครับตายยย แอบเอาภาพตอนใบไม้แดงมาให้ดูด้วยครับ ส่วนผมไปยังเขียวๆ อยู่ มีแดงนิดหน่อย สู้ๆ นะครับเอาให้ถึงจุดบนสุด มีแผนที่ให้ดู

วัดนี้แทบจะไม่มีคนชาติอื่นเลยมีแต่คนญี่ปุ่น ดังนั้นแปลกใหม่และสวยแน่นอน อวดเพื่อนๆได้เต็มเหนื่ยวคับ จัดไปปป สำหรับที่นี่ผมได้ภาพเยอะที่สุดเลยฮะ

ต่อมาผมก็เดินทางไปยังหุบเขานารูโกะ Naruko Gorge  ตั้งพิกัดรหัส GPS โดยใช้ Tel :0229-87-2050 ระหว่างทางอย่าลืมแวะจุดพักรถเพื่อเติมน้ำมันนะครับ ผมเกือบลืมและน้ำมันก็แดงอยู่ เกือบแล้วครับ ถ้าน้ำมันหมดบนโทลเวย์ละก็ ไม่อยากจะคิดครับ ผมแวะ Area พักรถชื่อ Sagae Cherry Land ก็มีของให้ทานคร่าวๆ เล็กๆน้อยๆครับ รสชาติโอเค ไม่ได้อร่อยมาก แต่ว่ามาตรฐานอาหารญี่ปุ่นก็ไม่มีแย่แน่นอนครับ

ผมตัดสินใจกินเลยเพราะว่าจะได้ไม่เสียเวลา ใช้เวลาราวๆ 15-20 นาที ก็ดิ่งตรงไป Naruko Gorge  เป็นคล้ายๆ วิวสะพานข้ามภูเขา และล้อมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ตอนที่ผมไปเปลี่ยนนิดหน่อยครับ มารีวิวให้ก่อน แต่ว่าตอนใบไม้แดงละก็ อลังการแน่นอน มีภาพตอนผมไปและภาพตอนที่ใบไม้เปลี่ยนสีด้วยครับ เดี๋ยวจะไปอีกรอบตอนเปลี่ยนสีครับ  อะย้อมสีมาให้ดูก่อนที่นี่เราจะเดินลงไปได้จนถึงด้านล่างก็จะเป็นแม่น้ำ ผ่านตามทางไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปได้ตลอดทางครับ  เดินไม่ไกลมากครับ วัดแรกโหดกว่าเยอะ มาแล้วต้องลงครับ ลุยยยย เก็บภาพมาฝาก

พอจบที่นี่แล้วไปไหนต่อดี ผมก็เลยไปวัดๆนึง ที่เค้าบอกกันว่าเป็นวัดเก่าแก่มากๆ อายุราวๆ 1500 ปี เป็นวัดที่คนอาจจะไม่รู้จักเยอะ แต่ความธรรมชาตินั้นบอกเลยครับ ที่สุด เงียบ สงบ  ต้นไม้ใหญ่มากกกก มีศาลเจ้าสวยๆ ให้เราถ่ายเยอะสุดๆ มันสงบจนเหมือนที่ปฎิบัติธรรมอะไรแบบนี้เลยครับ ชื่อ Hagurosan Shrine  ตั้งพิกัดรหัส GPS โดยใช้ Tel :  0235-62-2355  ขับรถมาไม่นานก็มาถึง มาถึงก็ต้องเดินอีกแล้ว แม่เจ้า วันนี้มันวันแห่งการเดินชัดๆ และก็เดินขึ้นเขาอีกแล้วครับท่าน555+ ไม่เป็นไรครับ อายุแค่ 31 ยังพอไหวก็เดินไปตามทางจนเจอศาลาไม้กลางป่า ถ่ายภาพกันให้เต็มที่ ขาเริ่มสั่นละคับ555+ และก็เดินกลับ!! เอิ๊กๆ พอดีวันนี้ผมรีบๆ หน่อยเพราะว่าชิวมาหลายวันแล้ว มีที่ล่องเรือตามแม่น้ำระหว่างภูเขาด้วยครับ เป็นเหมือนแบบเรือล่องไปดูเรื่อยๆตามแม่น้ำครับ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ถ้าบ้านเราก็คือนั่งเรือหางยาว แต่ที่นี่ก็เป็นเรือสไตล์เค้าครับมีคนญี่ปุ่นคอยร้องเพลงญี่ปุ่นให้ฟังเรื่อยๆ ดู traditional สุดๆ กับ Mogami River Basyo Line Descent ตั้งพิกัดรหัส GPS โดยใช้ Tel :  0233-72-2001

หากเป็นช่วงใบไม้แดง ไม่อยากจะคิดเลยครับ อย่างน้องที่นี่ก็ไม่ต้องขึ้นเขาครับ ได้นั่งพักเต็มที่เลยครับ ใช้เวลาล่องเรือราวๆ 30 นาที พอจบก็กลับโรงแรมเถอะครับ แช่ออนเซนกันเถอะ เพราะว่าปวดขามากกก คราวนี้ผมเลือกออนเซนแบบบ้านๆบ้าง เขาบอกว่ามันเหมือนหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านออนเซน มันคล้ายๆ Home Stay นิดๆ แต่ก็ยังเป็นโรงแรมอยู่นะครับออนเซ็นที่นี่เล็กๆ แต่ธรรมชาติมากๆครับ มาทั้งทีต้องพักให้ครบทุก Style เอาตั้งแต่หรูหราจนแบบแนวๆ Home Stay ที่จะได้ซึมซับบรรยากาศคน Local ของจริง อาหารจะเป็นแบบไคเซกิคับ แต่ห้องทานข้าวจะรวมๆ มีหม้อนาเบะ ปลาดิบ คล้ายๆกันทุกมื้อครับ จะเป็นชุดที่ทางโรงแรมจัดในรูปแบบเฉพาะของแต่ละโรงแรม ไม่เบื่อแน่นอนครับ อร่อยทุกมื้อตอนแรกคิดว่าวันนี้จะหลับให้ยาวๆ สลบเหมือด แต่!!เขาบอกว่ามีตลาดตอนเช้านะ เอาโว้ย!!ไหนๆก็มาแล้ว ไปดูกันหน่อยครับ เป็นเหมือนตลาดในหมูบ้านเล็กๆ ชาวบ้านจะเอาของมาขายกันตอนเช้าครับ อากาศที่นี่ดีเลย ขนาดผมไปช่วงยังไม่เย็นแต่ตอนกลางคืนและตอนเช้าเย็นมากครับ เพราะว่าต้นไม้เยอะสุดๆ คล้ายๆ ดอยอ่างขางบ้านเราครับ ใครเหนื่อยก็ไม่ต้องลุกมาเดินได้ครับ ไม่มีอะไรมาก แต่มันได้บรรยากาศชาวบ้านๆ ครับ ดูเหมือนยังไม่ใช่ภาพแบบในเมืองๆ พอเดินเสร็จกินอาหารเช้าเสร็จก็เดินทางต่อ คราวนี้ตั้งใจเข้าไปสำรวจเมืองเซนไดครับ ตั้งแต่แรกว่าจะบินกลับ แต่ขับรถก็สนุกดี เจออะไรก็แวะไปเรื่อยๆ ผมดิ่งตรงเข้ามาในเมืองเซนได มาดูเมืองเซนไดซะหน่อยว่าเป็นอย่างๆไรบ้าง พอมาถึงก็จอดรถ เออลืมบอก เวลาจอดต้องเสียค่าที่จอดนะครับ ไม่งั้นโดนปรับเละ

มาถึงตรง Sendai Station จะเป็นเหมือน Osaka Station เลยครับ นั่งชินกันเซ็นมาจากโตเกียวก็แค่ชั่วโมง กว่าๆราคารวม 10,370 เยน ใครจะนั่งมาจากโตเกียวก็ได้ครับง่ายนิดเดียว ตรงใกล้สถานีมีแหล่งช้อปปิ้ง คล้าย ๆ ชินไชบาชิ อาจจะเล็กกว่าครับ แต่ก็มีทุกอย่างนะ ทำเป็นเล่นไป ซาร่า ทิฟฟี่ ไม่ใช่! เสื้อยี่ห้อซาร่าก็มีครับ แบรนด์เนมอะไรมีหมด Louis Vitton Hermes Bottega Veneta เป็นห้างของหรูครับ  ใครที่รักกระเป๋าแบรนด์ก็มาสอยได้นะครับ อาจจะได้กระเป๋า Birkin Kelly ก็ได้ครับ

ผมก็เดินเล่น เข้าไปชิมๆ ร้านซูชิราง นิดๆ หน่อยๆ มาสำรวจย่านช้อปปิ้งเขาหน่อย อย่าคิดว่าบ้านนอกนะครับ ที่นี่เป็นเมืองใหญ่มากๆ นึกภาพเอาบ้านเราก็เชียงใหม่เลยครับ ประมานนั้น พอเดินไปชิมไปได้ซักแปป ก็ลุยขับรถต่อครับ คราวนี้ยาว ขับไปโตเกียวเลยครับ ราวๆ 4ชม.กว่าๆ เจออะไรอยากแวะก็แวะได้นะครับ ผมเลือกขับรถเพราะว่าเดี๋ยวเอาไปเที่ยวโตเกียวต่อดีกว่า

ใครไม่อยากขับก็เอารถไปคืนแล้วก็บินกลับก็ได้ครับ เพราะว่าโตเกียวมีรถไฟฟ้ามากมาย เดินทางง่ายครับ แต่ถ้าจะเที่ยวโทโฮคุแบบผม ต้องขับรถเท่านั้นจ้า ระหว่างทางก็แวะๆที่พักรถ บางที่ใหญ่มากกกกกกก สุดๆ อย่างกะห้าง ที่นั่นมีอาหารการกินอะไรเพียบเลยครับ ซุปเปอร์มาร์เก็ตมีปลาดิบเหมือนตลาดปลาเล็กๆ เลยครับ ข้าวหน้าหมูทอด ขนม อะไรมีครบ  ไม่เคยเจอที่พักรถใหญ่ขนาดนี้มาก่อน กินอีกแล้วครับท่าน 555+ พอสมใจอยากแล้วก็ขับต่อครับ ขับมาเรื่อยๆ จนถึงโตเกียว ผมก็เลือกพักใจกลางเมืองครับ Excel Tokyo หลายคนคงรู้จัก สะดวกมากถึงมากที่สุด อยู่ใจกลางชิบูย่า และที่สำคัญใครไม่ได้เช่ารถขับ  ที่โรงแรมนี้จะเป็นจุดขึ้นรถ ลิมูซีนแอร์พอร์ท ซื้อตั๋วรถได้ที่ล๊อบบี้เลย เขาจะมีรอบให้เลือก เวลาผมมาแบบไม่ได้เช่ารถ ก็พักที่นี่ประจำครับ (คนไทยเยอะมาก) ถึงแล้วก็เช็คอินและลงมาลุยต่อครับ ในย่านชิบูย่ามีครบทุกอย่างครับ เดินๆไปดองกี้ (เดินจากโรงแรม 5-10 นาทีถึง)

ช้อปดองกี้เสร็จก็ซัดราเมงเลยจ้า กินมันเข้าไป อิจิรันราเมง ที่เขาเรียกกันว่า ราเมงข้อสอบ อร่อยจริงครับ บางคนอาจจะไม่ชอบ แต่ผมชอบครับ เทพสุดๆและชัวร์ครับ ผมตระเวนกินเกือบทุกครั้งตลอด 5-10 ปีที่เที่ยว เพราะชอบราเมงมาก ใส่ภาพ ใส่ภาพ ชิมมากกว่า50 ร้าน แต่ร้านนี้มันง่ายครับและชัวร์ ร้านราเมงที่เทพๆที่รู้จักก็มีฮะ แต่ว่าต้องพยายามไปมาก เลยเอาง่ายๆ เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม สลบจ้า Good Night

ตื่นมาวันนี้ ผมจะไปกิน COCO ข้าวแกงกระหรี่ งงใช่ไหมครับ จะไปกินทำไม ที่ไทยก็มี แต่!!ที่นี่แกงกระหรี่เขามีความเผ็ด 10 ระดับ ผมชอบกินเผ็ด จัดไประดับ 10 ครับ ใส่เต็มเผ็ดโคตรดูระดับความเผ็ดจ้า เลือกได้ เลยตามใจชอบแต่อร่อยสุดๆและที่ไทยไม่มีครับ 555+ แบรนด์เดียวกัน แต่ว่าบางอย่างไม่เหมือนครับ ระดับ10 จัดไปอย่าให้เสีย แนะนำให้มาลอง กินเสร็จก็หาที่แปลกๆไปดีกว่า ไปเจอรีวิวนึงเค้าถ่ายรูปบันไดหนีไฟ แต่ทำไมมันสวยฟระ เกิดความสงสัย ไปดูซะหน่อย ตอนจอดรถก็แบบเอ๊ะ อยู่ไหนเอ่ย หาตั้งนาน มันอยู่ในอพาร์ทเมนท์นึงเลยครับ ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ว่าเค้ามาเจอกันได้ไงฟระ หากันยังไง ถ่ายออกมาก็สวยดีครับตามภาพ แปลกๆดี ใครมาโตเกียวก็มาหาได้ครับสถานีต่อไปพอดีไปเจอรีวิวเสาแดงที่โตเกียว เหมือนที่เกียวโตเลย จะไปถ่ายหลอกเพื่อนเล่นว่ามาเกียวโตต่อ ด้วยความอยากรู้ก็จัดไปครับกับ ศาลเจ้า Anamori Inari อยู่ในโตเกียว ขับรถแปปๆครับ ที่เสาแดงถือว่าใช้ได้เลย สามารถหลอกคนมองผ่านๆได้ แต่ถ้าใครรู้ลึก ก็ไม่สามารถครับ555+ แต่เสาแดงก็สวยใช้ได้เลยครับ แล้วก็ไปโตเกียวทาวเวอร์ เห็นเขาถ่ายภาพในรูปกัน แล้วมันมีมุมที่แบบเห็นโตเกียวทาวเวอร์ทั้งหมดได้ ก็ลองไปดู บอกเลยว่าใครมาผิดจังหวะต่อคิว 30-40 คิว  แต่ตอนผมไปมีแค่ 3-4 คิว ก็สบายๆครับ ที่นั่นจะมีร้านเต้าหู้ด้านหน้า เป็นร้านเต้าหู้ชื่อดัง อยากกินมาก แต่เค้าบอกว่ากินเป็นคอร์ส ใช้เวลา ชม ครึ่ง แนะนำให้ไปลองครับ เพื่อนบอกว่าอร่อยมาก แต่ผมรีบเพราะจะไปตลาดปลาต่อ 555+ ลุยครับ ไปตลาดปลา ไปถึงก็มีร้านปิดไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีครับ จัดปลาดิบ อูนิไปอย่าให้เสีย ไหนๆมาแล้วเอาให้คุ้ม

พอจบจากที่นี่ผมก็กลับไปแถวชิบูย่าละ ตระเวนไปหาร้านกินๆเรื่อย ซื้อของฝากให้เพื่อน ให้ที่บ้าน แล้วก็หาร้านสุกี้ยากี้กินปิดท้ายซะหน่อย เมื่อได้ของที่ต้องการและท้องอิ่มแล้ว ก็เดินทางไปสนามบินครับ แจ้งเขาไว้ว่าคืนรถก่อน 22.00 ไม่งั้นผมโดนปรับ (หากเอาไปคืนก่อนเวลาเค้าคืนเงินให้ด้วยนะ) เอารถไปคืนที่จุดคืนรถครับที่ใกล้ๆสนามบินฮาเนดะ (เลือกบินฮาเนดะเพราะว่ามีไฟล์ทดึกสุดครับ ถ้าเป็นนาริตะจะมีไฟลท์ 17.30 น. แต่ถ้าฮาเนดะ 24.30 เลยครับ วันสุดท้ายเที่ยวได้เต็มวันเลยครับ) พอคืนรถก็นั่งรถมา Shuttle busไปยังสนามบิน ขึ้นเครื่องถึงไทยราวๆตี 4 หากใครต้องไปทำงานต่อก็ไปทันสบายๆครับ กลับบ้านอาบน้ำแล้วก็ออกไปทำงานได้เลย

ขอปิดท้ายกันด้วยภาพนี้  วิวระหว่างทางของโทโฮคุยังคงเป็นธรรมชาติที่งดงาม และน่าค้นหาตลอดเส้นทางผมเชื่อว่าในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงหิมะหนาๆฟู โทโฮคุต้องสวยกว่านี้แน่นอน

ทริปนี้จุใจมาก ได้ไปเกือบครบทุกที่ แต่ยังไม่ครบอยู่ดี บางคนที่ลงนาริตะ/ฮาเนดะแล้วขับรถขึ้นมาเลยก็ได้นะครับ ก็จะเก็บที่ต่างๆได้มากขึ้นไปอีก แต่จะขับรถมาราธอนมากๆ ผมเลือกไปเริ่มที่เซนไดและขับมาจบที่โตเกียวครับ ใครไม่ค่อยมีเวลาก็ไม่ต้องนอนโตเกียวก็ได้ครับ ส่วนใครมีเวลาก็อยู่ต่อได้เลย เอาตามที่สะดวก แต่บอกเลยว่าใบไม้เปลี่ยนสี…จะไปอีกแน่นอน แล้วเจอกัน Tohoku ทริปนี้มากับเพื่อนๆ แยกเส้นทางกันไปบ้าง ใครอยากเห็นภาพก็ไปดูแฮชแทคในIGได้เลยครับ #minamitohokurm #unithaitrip #ยูนิไทยทริป #เที่ยวญี่ปุ่นกับunithai #sendai จะเป็นภาพสวยๆที่เราไปเจอกันมาครับ

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ สวัสดีครับ

 

1 thought on “เที่ยว Tohoku กับ มิวสิคAF

  1. ขอบคุณ ครับ
    น่าสนุกครับ

Comments are closed.